Cherreads

Chapter 2 - ตอนที่ 2

ทะเลทรายรกร้างกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา ทอดมองไปที่ใดล้วนเห็นเพียงผืนทรายสีเหลืองแผ่กว้างไร้ของเขต เม็ดทรายม้วนตัวตามกระแสลมพัดพาลอยล่องสู่ท้องฟ้าเบื้องบน ริ้วเมฆขาวตัดกับผืนฟ้ากว้างใหญ่เคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ไม่นานพลันสลายไปอย่างรวดเร็ว เนินทรายสูง ๆ ต่ำ ๆ ถูกแสงแดดแผดเผาจนระอุร้อนด้วยไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นบดบัง 

 ท่ามกลางไอร้อนจากเปลวแดดแผดเผาปรากฏเด็กหนุ่มใบหน้าหล่อเหลางดงามผู้หนึ่งยืนอยู่บนเนินทรายที่สูงที่สุด ฝุ่นทรายที่ปลิวมาตามกระแสลมพัดโบกให้ชายอาภรณ์สีม่วงเข้มสะบัดไหวไปตามแรงลม แต่เด็กหนุ่มผู้นั้นกลับยังคงสงบเยือกเย็นราวกับไม่ได้รับผลกระทบต่อสภาพอากาศอันวิปริตอาเพศเช่นนี้ สายตาเฉียบคมดุจเหยี่ยวมองสำรวจไปทั้งสี่ทิศแปดทาง

 ในดินแดนทะเลทรายเวิ้งว้างแห่งนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตแม้เพียงตัวเดียวอาศัยอยู่ อย่างน้อยเด็กหนุ่มก็มั่นใจว่าในระยะห้าร้อยลี้ [1] รอบกายก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ตั้งแต่เขาตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล พลันได้พบกับเรื่องประหลาดที่ไม่อาจคาดเดาได้หลายประการ

 ประการแรก เขาสมควรจะตื่นขึ้นมาในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในส่วนลึกของป่าเชียนหยวน แต่แท้จริงแล้วเขากลับตื่นขึ้นมาภายในมิติจิตของตน อีกทั้งข้างกายยังพบจิ้งจอกมายาจื่อเชานอนอิงแอบอยู่อย่างสงบ เขาไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ยามเอ่ยถามจื่อเชา เขาพลันสังเกตเห็นว่าแม้นมุกวิญญาณของอีกฝ่ายจะมิได้แตกสลาย แต่ระดับตบะที่บำเพ็ญเพียรสั่งสมหลายพันปีกลับเหลือเพียงระดับปฐมภูมิ [2] เป็นเหตุให้เขาจะถามไถ่สิ่งใดคงไม่ได้ความ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับจิ้งจอกมายาจื่อเชานั้นคือเรื่องประหลาดประการที่สอง

 ประการที่สามเหตุใดมิติจิตของเขาถึงได้รับความเสียหายไปถึงเก้าส่วน เดิมทีในมิติจิตของเขาเปรียบเสมือนป่าเชียนหยวนแห่งที่สอง เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่าป่าด้านนอกอยู่หนึ่งในสิบส่วน ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลไม่น้อยที่เดียว ด้วยขนาดของมิติจิตที่ใหญ่โต เขาจึงได้สร้างเรือนไม้จันทน์ไว้เรือนหนึ่งซึ่งแบ่งเป็นสองห้อง มีห้องตำรากับห้องนอนของเขา และยังสร้างหอตำราสูงสามชั้นซึ่งในนั้นเต็มไปด้วยตำรายุทธ์ ตำราอาคม ตำรับยาสำหรับหลอมโอสถที่เขาสะสมรวมแล้วนับหมื่นเล่ม ยังมีโรงเรือนอีกห้าหลังที่สร้างไว้เพื่อแยกเก็บสมบัติล้ำค่า อาวุธวิเศษชนิดต่าง ๆ ยามนี้มันกลับหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงแปลงเพาะต้นอ่อนของสมุนไพรวิเศษหายากจากสองในสิบส่วน ต้นไม้โบราณซึ่งเป็นต้นแฝดที่เขาปลูกเองกับมือคู่หนึ่ง และน้ำพุสวรรค์บ่อหนึ่งเท่านั้น

 ประการที่สี่ สถานที่แห่งนี้คือที่ใดกัน ป่าเชียนหยวนหายไปไหน ในเมื่อป่าเชียนหยวนหายไปอย่างไร้ร่องรอย เช่นนั้นเหล่าบริวารสัตว์อสูรของเขานอกเหนือจากจิ้งจอกมายาจื่อเชาแล้วคงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยดุจเดียวกัน

 เทพอสูรเต่าพสุธาเป็นสัตว์อสูรบรรพกาลซึ่งมีสัญชาตญาณเฉียบคมเป็นอย่างยิ่ง แม้ในด้านการจู่โจมจะเชื่องช้ากว่าเทพอสูรทั้งสามตนแต่การป้องกันศัตรูของมันกลับแข็งแกร่งจนอยากจะหาใดเทียม ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงพอจะคาดเดาได้ว่า ในระหว่างที่เขาจำศีลเพื่อเลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นมหายาน ภายในป่าเชียนหยวนจำต้องเกิดเหตุร้ายแรงบางประการเป็นแน่ แต่จนถึงบัดนี้เขาก็ยังขบคิดไม่เข้าใจว่าจะมีผู้ใดที่มีความสามารถถึงขั้นทำลายมิติจิตของเขาได้ถึงเก้าส่วน

 ต้องเข้าใจว่าข่ายอาคมป้องกันที่เขาสร้างขึ้นในยามที่มีตบะอยู่ในระดับก่อกำเนิด ต่อให้มีมารที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดเป็นพัน ๆ ตนลงมือทำลายพร้อมกันยังต้องใช้เวลาถึงสามชั่วยาม [3] จึงจะสามารถฝ่าข่ายอาคมของเขาเข้ามาได้ เช่นนั้นป่าเชียนหยวนที่ถูกกางข่ายอาคมไว้ถึงสามชั้นนั่นหมายความว่าสามารถประวิงเวลาได้ถึงเก้าชั่วยาม ในระหว่างนี้เหล่าสัตว์อสูรบริวารจะไม่รับรู้ถึงความผิดปกติเชียวหรือ

 ด้วยสัญชาตญาณความเกียจคร้านของสัตว์อสูรในร่างเป็นเหตุให้เขาคร้านจะขบคิดต่อไป รอให้จิ้งจอกมายาจื่อเชาตบะเพิ่มพูนสูงขึ้นกว่านี้ค่อยถามไถ่ก็ไม่เสียหายอันใด เมื่อตัดสินใจได้เช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงมุ่งมั่นที่จะช่วยจิ้งจอกมายาเพิ่มพูนตบะให้ได้โดยไว

 เด็กหนุ่มอุ้มร่างจิ้งจอกน้อยกลับเข้าไปในมิติจิต ตั้งใจจะให้มันดื่มน้ำในน้ำพุสวรรค์แต่ท้ายที่สุดเขาพลันระลึกได้ว่า จื่อเชาในยามเป็นเพียงสัตว์อสูรที่มีตบะต่ำต้อยไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉานทั่วไป หากให้มันดื่มน้ำพุสวรรค์โดยตรงเป็นไปได้ว่าร่างจิ้งจอกน้อยคงแหลกสลายกลายเป็นผุยผงด้วยไม่อาจรับพลังฤทธิ์บริสุทธิ์จากน้ำพุสวรรค์ได้

 "ข้าคงต้องหาน้ำมาผสมน้ำพุสวรรค์ให้เจ้าดื่มเสียแล้ว" เด็กหนุ่มกล่าวพลางทอดถอนใจเมื่อนึกถึงทะเลทรายอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ภายนอกมิติจิต จุดมุ่งหมายประการแรกที่จะช่วยจิ้งจอกมายาภาชนะชาเพิ่มพูนตบะถูกปัดออกไปเปลี่ยนเป็นการหาแหล่งน้ำมาผสมน้ำพุสวรรค์แทน

 เมื่อเด็กหนุ่มก้มมองร่างจิ้งจอกน้อยในอ้อมแขน คิ้วงามดุจใบดาบพลันขมวดมุ่นเมื่อเห็นขนสีขาวบริสุทธิ์ประดุจหิมะของมันในยามนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นทราย 

 "เหตุใดเจ้าถึงได้สกปรกมอมแมมเช่นนี้?" จิ้งจอกน้อยจื่อเชาผงกหัวขึ้น นัยน์สีน้ำเงินแวววาวดั่งลูกแก้วสะท้อนความใส่ซื่อบริสุทธิ์สบเข้ากับดวงตาหงส์ของผู้เป็นนายตรง ๆ โดยมิได้หลบเลี่ยง ประหนึ่งต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวมัน เด็กหนุ่มหาได้สนใจไม่ เขาวางมันลงบนผืนหญ้านุ่มข้างบ่อน้ำพุสวรรค์ ยามนั้นเองฝุ่นทรายมากมายที่สะสมอยู่ในแขนเสื้อกว้างพลันร่วงลงมากองอยู่บนพื้นหญ้าเป็นกองใหญ่

 "!"

 เด็กหนุ่มก้มมองตนเอง อาภรณ์หรูหรางดงามที่ตนสวมใส่ ยามนี้มีสภาพไม่ต่างจากขนของเจ้าจิ้งจอกมายาแม้แต่น้อย เขาโบกมือคราหนึ่งอาภรณ์หรูหราพลันหายไปสิ้นเหลือเพียงเสื้อบางตัวใน จากนั้นก็ก้าวลงไปแช่กายยังน้ำพุสวรรค์ เมื่อจัดการร่างกายจนสะอาดหมดจดแล้วเขาจึงเสกผ้าผืนหนึ่งมาชุบน้ำในน้ำพุสวรรค์เพื่อนำมาทำความสะอาดขนให้เจ้าจิ้งจอกน้อย ผ้าที่บิดหมาด ๆ ยามสัมผัสถูกขนของมันเพียงเล็กน้อย ขนสีขาวก็กลับมาเงางามดังเมื่อกาลก่อนอีกครั้ง 

 "จื่อเชา เจ้าได้รับบาดเจ็บที่หางด้วยเช่นนั้นหรือ?" เด็กหนุ่มเอ่ยกับมันเมื่อเช็ดทำความสะอาดมาถึงส่วนหาง แต่เมื่อเขาพิจารณาอีกครั้งจึงพบว่า หางของจิ้งจอกน้อยหาได้บาดเจ็บไม่ หางที่สั้นกุดลงไปสองในสามส่วนมิใช่เพราะหางขาดแต่เป็นเพราะหางของมันหดเล็กลงเนื่องด้วยฝืนใช้พลังฤทธิ์มากเกินไป

 "นี่เจ้าเหลือตบะต่ำกว่าระดับปฐมภูมิอีกหรือนี่?" เด็กหนุ่มมองหางของจิ้งจอกมายาที่ถูกปกคลุมด้วยขนฟูฟ่องแต่กลับสั้นจนเกือบกุด ดูคล้ายหางกระต่ายบนร่างสุนัขจิ้งจอกไม่มีผิด "อย่างไรร่างของสัตว์อสูรก็ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจและระดับพลังตบะ เจ้ามีจิตใจที่มุ่งมั่นแข็งแกร่ง เช่นนั้นต้องมีสักวันที่เจ้าจะกลับมามีรูปลักษณ์งดงามดั่งกาลก่อน" เด็กหนุ่มกล่าวปลอบใจหลังจากช่วยเช็ดตัวให้กับจิ้งจอกน้อยเสร็จเรียบร้อย

 เด็กหนุ่มทอดตามองภายในมิติจิตอีกครั้ง ไม่ว่าน้ำพุสวรรค์หรือต้นอ่อนสมุนไพร สรรพสิ่งที่อยู่ในที่นี้ล้วนไม่อาจนำมาให้จิ้งจอกน้อยดื่มกินได้ เขาที่อยู่ในระดับมหายาน อากาศร้อนหนาวล้วนไม่ส่งผลกระทบกับเขา ไม่ดื่มไม่กินก็ไม่หิวไม่กระหาย แต่กับจิ้งจอกมายาที่ก้ำกึ่งระหว่างสัตว์อสูรก็ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานก็ไม่เชิงนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กลัวร้อนกลัวหนาว ทั้งยังต้องดื่มกินเพื่อความอยู่รอด

 "ดูเหมือนว่าอากาศในทะเลทรายจะร้อนเกินไปสำหรับเจ้า เช่นนั้นก็รอข้าอยู่ในนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ประเดี๋ยวข้าจะหาน้ำและอาหารมาให้" เด็กหนุ่มกล่าวก่อนเปลี่ยนอาภรณ์มาสวมใส่ชุดที่รัดกุมเฉกเช่นเหล่ามนุษย์นักบู๊ในยุทธภพ ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ความสง่างามหรูหรากลับไม่ได้ลดทอนลงไปแม้แต่น้อย

 เด็กหนุ่มอาศัยสัญชาตญาณสัตว์เทพอสูรของตนนำทาง ทะยานด้วยวิชาตัวเบาผสานพลังฤทธิ์เพียงไม่ถึงหนึ่งส่วน หนึ่งก้าวสามารถเดินทางได้พันลี้ ผ่านไปสองชั่วยามเขาจึงพบบึงน้ำแห่งหนึ่งซึ่งโอบล้อมไปด้วยเนินทรายสูง ๆ ต่ำ ๆ สายตาเฉียบคมดุจเหยี่ยวพบเห็นร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์ เขาจึงคลายพลังฤทธิ์ลงอาศัยเพียงวิชาตัวเบาค่อย ๆ ทะยานเข้าไปอย่างเชื่องช้า

 เมื่อเด็กหนุ่มเข้าไปใกล้จึงพบว่าสถานที่แห่งนี้หาได้มีผู้คนอยู่อาศัยไม่ สิ่งปลูกสร้างรูปร่างแปลกตาถูกปล่อยทิ้งร่างไว้ อีกทั้งเศษซากของกระโจมที่ขาดวิ่นยังพอให้เขาคาดการณ์ได้ว่า ชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบ ๆ บึงน้ำแห่งนี้ได้อพยพย้ายถิ่นฐานออกไปเป็นเวลานานแล้ว

 บรรยากาศโดยรอบในยามนี้ นอกจากเสียงหวีดหวิวของกระแสลมในทะเลทรายแล้ว ยังแฝงไปด้วยเสียงแมลงกรีดปีก เสียงแมลงเหล่านี้ช่างแปลกหูยิ่งนัก หาได้มีความไพเราะเฉกเช่นแมลงสัตว์อสูรในป่าเชียนหยวนไม่ 

 เด็กหนุ่มมั่นใจว่ารอบ ๆ บึงเหล่านี้นอกจากสัตว์ที่แอบซุ่มอยู่ในพงไม้กับเหล่าแมลงที่กรีดปีกส่งเสียงระงมแล้วก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นอีก ในเมื่อสัตว์เหล่านั้นไม่พุ่งออกมาทำร้ายเขา เช่นนั้นเขาก็หาได้สนใจพวกมันไม่ กระทำเพียงก้าวยาว ๆ ตรงไปยังริมบึง

 จู่ ๆ พลันเกิดลมกรรโชกดังหวีดหวิว ติดตามมาด้วยเสียงคำรามเบา ๆ ก่อนร่างเงาดำสายหนึ่งจะโถมเข้ามาคล้ายต้องการจะกลืนกินเขาลงไป เด็กหนุ่มสะกิดปลายเท้าเล็กน้อยแล้วพลิกกายตีลังกากลับหลังกลางอากาศ แรงส่งจากปลายเท้าในกระบวนท่านี้ส่งให้ร่างของเขาลอยสูงขึ้นไปกว่าสิบจั้ง [4] และถอยหลังออกจากจุดที่เขายืนอยู่มาไกลจนพ้นรัศมีของพลังมหาศาลที่พุ่งกระแทกจนเม็ดทรายลอยฟุ้งกระจายขึ้นในอากาศกว่าสามสิบจั้ง เขารีบร่ายคาถากางข่ายอาคมเกราะป้องกันเพื่อคุ้มกาย ยามเม็ดทรายร่วงหล่นลงมาจะได้ไม่มีสภาพอเนจอนาถอย่างคราครั้งก่อน 

หลังฝนทรายสงบลง จุดที่เขายืนอยู่เมื่อครู่พลันยุบตัวลงเป็นแอ่งทรายขนาดใหญ่ ในแอ่งทรายค่อย ๆ ปรากฏร่างใหญ่มหึมาของสัตว์อสูรตัวหนึ่งม้วนตัวอยู่ภายใน มันค่อย ๆ โผล่หัวหกเหลี่ยมที่ดูคล้ายกระดองปูออกมา ดวงตาสีขาวขุ่นไร้ประกายจับจ้องมาที่เขาราวกับจับจ้องเหยื่ออันโอชะ เขี้ยวใหญ่แหลมคมยาวโง้งออกมานอกปากผิดกับหนวดที่สั้นกุดคู่หนึ่งที่ขยับไหวไปในอากาศ ลำตัวของมันแบนราบทอดยาวลงไปในแอ่งทราย ลำตัวที่อยู่เหนือพื้นทรายมีขายาวซึ่งปกคลุมไปด้วยขนแหลมคมหนึ่งคู่ต่อหนึ่งปล้อง ตลอดทั้งตัวของมันเป็นสีน้ำตาลอ่อนอมเหลือง แทบจะกลมกลืนไปกับทะเลทรายผืนแห่งนี้

 คล้ายดั่งสัตว์อสูรตนนี้จะถูกเด็กหนุ่มยั่วยุกระทั่งขุ่นเคือง แววตาสีขาวขุ่นทอประกายดุร้าย ขายาวมากมายที่ปกคลุมไปด้วยขนแหลมคมพุ่งเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็วและรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง เด็กหนุ่มเพียงสะกิดปลายเท้าเล็กน้อยแล้วพลิกกายตีลังกากลับหลังไปบนพื้นทรายติดต่อกันหลายตลบ พื้นทรายบริเวณที่เขาเคยอยู่ล้วนถูกแทนที่ด้วยขาของเจ้าสัตว์อสูรซึ่งปักลึกลงไปหลายจั้ง เม็ดทรายฟุ้งกระจายปลิวว่อนไปในอากาศ 

สัตว์อสูรส่งเสียงร้องคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนร่างมหึมาจะกระโจนโถมเข้าใส่เหยื่อของมัน หวังฉีกกระชากร่างให้กลายเป็นเศษเนื้อจากนั้นค่อยกลืนกินให้อิ่มท้อง ทว่ามันยังไม่ทันบรรลุถึง ร่างอันดุร้ายของมันพลันสะท้านขึ้นอย่างรุนแรงก่อนชะงักค้าง ลำตัวแบนยาวส่ายไหวโอนเอนเพียงชั่วครู่ก่อนจะล้มพับไปด้านข้าง

'โครม!'

ดวงตาหงส์จับจ้องร่างของสัตว์อสูรที่ทอดกายแน่นิ่งอยู่บนพื้นทราย เขามีชีวิตอยู่มาหลายหมื่นปีกลับไม่เคยพบเจอสัตว์อสูรชนิดนี้มาก่อน เมื่อนึกถึงตำราซึ่งบันทึกรวบรวมเรื่องราวของเผ่าพันธุ์อสูรหายากที่อยู่ในหอตำราก็พาให้เขารู้สึกปวดใจอย่างยิ่งยวด หากครานั้นเขาเชื่อฟังงูขาวเกล็ดน้ำแข็งเพียงเล็กน้อย ขยันหมั่นเพียรศึกษาตำราต่าง ๆ ให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย คงไม่ต้องอับจนปัญญาถึงเพียงนี้

สัตว์อสูรที่มิล่วงรู้ถึงเผ่าพันธุ์ อีกทั้งระดับตบะบำเพ็ญเพียรก็มิอาจหยั่งถึง ล่วงรู้เพียงว่าระดับของมันน่าจะต่ำกว่าระดับหล่อหลอม แต่เหตุใดสัตว์อสูรตนนี้ถึงได้แข็งแกร่งเกินกว่าสัตว์อสูรระดับหล่อหลอมกันเล่า เขาต้องใช้พลังฤทธิ์ถึงสองส่วนถึงกำราบมันลงได้ในครั้งเดียว หรือว่าส่วนหัวจะเป็นจุดอ่อนของมัน หากเป็นเช่นนั้นก็นับว่าสวรรค์เข้าข้างเขาแล้ว

เด็กหนุ่มเดินไปยังซากร่างของสัตว์อสูรตนนั้น เตะเท้าไปที่หัวซึ่งมีรูโหวขนาดเท่าท่อนแขนรูหนึ่ง เมื่อมองผ่านรูนั้นเข้าไปภายในปรากฏประกายแสงสีเขียวเข้มสะท้อนแสงแดดส่องประกายแวววาว เขาร่ายอาคมง่าย ๆ บทหนึ่งของสิ่งนั้นพลันลอยขึ้นในอากาศ 

"มุกวิญญาณ?"

เป็นอีกครั้งที่เด็กหนุ่มคิดว่าตนเองเป็นเทพอสูรที่โง่เขลาที่สุดในบรรดาสัตว์เทพอสูรด้วยกัน เขาเคยเห็นเพียงมุกวิญญาณทรงกลมเท่านั้น แต่มุกวิญญาณที่รูปร่างคล้ายดั่งผลึกน้ำแข็งเช่นนี้เขากลับเพิ่งเคยเป็นครั้งแรก ชีวิตหลายหมื่นปีของเขาช่างเสียเปล่าจริง ๆ

เด็กหนุ่มสลัดความคิดของตนทิ้งไปพร้อม ๆ กับมุกวิญญาณรูปร่างประหลาดที่ปล่อยให้มันร่วงหล่นบนพื้นทรายโดยไม่สนใจไยดี จากนั้นเดินผ่านซากของสัตว์อสูรมุ่งตรงไปยังบึงน้ำเบื้องหน้า น้ำในบึงหาได้ใสสะอาดไม่ มันกลับเป็นสีเทาขุ่นคลักอีกทั้งยังส่งกลิ่นประหลาดอ่อน ๆ แผ่กระจายออกมา เมื่อแมลงรูปร่างประหลาดตัวหนึ่งบินไปเกาะอยู่บนผิวน้ำ เพียงแค่ชั่วลมหายใจเข้าออกมันก็ตกตายจมลงไปในน้ำทันที

ที่แท้บึงน้ำแห่งนี้ถูกวางยาพิษนั่นเอง มิน่าเล่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่โดยรอบบึงแห่งนี้ถึงได้อพยพหนีหายไปจนหมดสิ้น ทันใดนั้นเขาพลันฉุกใจคิดขึ้นมาได้พลางเหลียวมองไปยังซากสัตว์อสูรที่ตนหมายตาเอาไว้ ตั้งใจจะนำมาเป็นอาหารเลี้ยงดูเจ้าจิ้งจอกน้อย การที่แหล่งน้ำแห่งนี้มีพิษแล้วยังมีสัตว์อสูรอาศัยอยู่ได้ หากมิใช่ร่างกายของมันต้านพิษจากน้ำในบึงก็หมายความว่าตัวของมันเองก็มีพิษเช่นกัน แต่มิว่าแท้จริงแล้วผลจะออกมาเช่นไรเนื้อของสัตว์อสูรตนนี้ก็มิอาจเอามาทำอาหารเลี้ยงดูจิ้งจอกน้อยได้ ผลลัพธ์ช่างน่าปวดใจยิ่งนัก สัตว์อสูรตัวใหญ่ถึงเพียงนี้เป็นเสบียงเลี้ยงดูจิ้งจอกมายาตนเล็ก ๆ ตนหนึ่งได้หลายเดือนทีเดียว

ยามวิกาลกำลังมาเยือนในอีกไม่ช้า ต่อให้เขาใช้เพียงพลังฤทธิ์อย่างเดียวก็ใช่ว่าจะสามารถเสาะหาแหล่งน้ำอื่นจนพบ เมื่อเป็นเช่นนั้น คืนนี้ก็ค้างแรมยังสถานที่แห่งนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ส่วนเสบียงอาหารของจิ้งจอกน้อยนั้น…

เด็กหนุ่มขบคิดเพียงชั่วครู่ก่อนจะเดินไปยังสิ่งปลูกสร้างรูปร่างแปลกตา รื้อ ๆ ค้น ๆ เพียงไม่นานก็สามารถหาภาชนะที่พอจะใส่น้ำน้อยใหญ่ออกมาได้สามสี่ชิ้น เขานำมันไปตักน้ำบึงจากนั้นเรียกน้ำพุสวรรค์จากมิติจิตออกมาประมาณหนึ่งถ้วยชา เทลงไปในภาชนะใบที่ใหญ่ที่สุด น้ำจากบึงที่ตักออกมาพลันส่องประกายแวววาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนสลายหายไปสิ้น น้ำในภาชนะใบนั้นพลันแยกออกเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน น้ำใสบริสุทธิ์แต่กลับไร้ซึ่งพลังฤทธิ์ของน้ำพุสวรรค์ลอยอยู่ส่วนบน อีกส่วนตกตะกอนอยู่ด้านล่างมีลักษณะคล้ายดินโคลนสีเทาดำ

เขาใช้ภาชนะอีกใบที่มีขนาดเล็กที่สุดตักน้ำบริสุทธิ์ออกมาใส่ในชามใหญ่ใบหนึ่งที่เขาหามาได้ ยังตักไม่หมดภาชนะที่หามาก็เต็มทุกใบแล้ว เขายกน้ำชามหนึ่งเข้าไปในมิติจิตเพื่อให้จิ้งจอกน้อยได้ดื่มเพื่อดับกระหาย เมื่อวางชามลงยังเบื้องหน้าของมันพลันถูกมันเลียดื่มจนหมดอย่างรวดเร็ว

"รออีกเดี๋ยวข้าจะหาอาหารมาให้เจ้า" เด็กหนุ่มกล่าวอย่างปวดใจ เมื่อย้อนนึกไปว่าตั้งแต่เขาตื่นจากหารหลับใหล จิ้งจอกน้อยไม่ได้ดื่มกินมานานเท่าไรแล้ว

 เมื่อออกจากมิติจิต เขาก็ตระเวนหาภาชนะที่สามารถเก็บน้ำดื่มที่พอจะหาได้ในสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดมารวมไว้ข้างบึงน้ำ เมื่อมาถึงจุดเดิมที่เขาทิ้งภาชนะซึ่งบรรจุดินโคลนสีเทาดำเอาไว้ ปรากฏว่าเจ้าดินโคลนประหลาดกำลังคืบคลานตรงไปยังบึงน้ำ! เขาร่ายอาคมบนหนึ่งอย่างรวดเร็ว ในค่ำคืนไร้เดือนดาวพลันมีปรากฏสายฟ้าผ่าฟาดลงบนดินโคลนสีเทาดำอย่างพอดิบพอดี ดินโคลนสีเทาดำสลายไปหมดสิ้นหลงเหลือเพียงขี้เถ้าสีดำก่อนหนึ่งก่อนปลิวหายไปตามกระแสลมในทะเลทราย

เด็กหนุ่มมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าดินโคลนที่สามารถเคลื่อนไหวได้นั้นหาใช่สิ่งมีชีวิตไม่ แต่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ น้ำพุสวรรค์ที่เขาเก็บไว้ในมิติจิตมีพลังปราณแห่งสวรรค์กักเก็บไว้อย่างเต็มเปี่ยม มีสรรพคุณวิเศษมากมาย หากเป็นชาวบ้านธรรมดาได้เพียงสัมผัสถูกเล็กน้อยก็สามารถทำให้ชีวิตยืนยาวกว่าร้อยปีโดยไร้โรคภัยไข้เจ็บ หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ดื่มเพียงสักหยดยังช่วยเพิ่มพูนพลังภายในราวกับได้ผ่านการฝึกฝนมากว่ายี่สิบปี และหากเป็นสัตว์อสูรหรือมารยังช่วยให้พวกมันเพิ่มพูนตบะและเลื่อนระดับได้ในที่สุด ด้วยพลังฤทธิ์อันแสนวิเศษที่สามารถชำระล้างทุกสรรพสิ่งให้สะอาดบริสุทธิ์ เขาจึงมั่นใจว่าน้ำพุสวรรค์จะชำระล้างพิษในบึงน้ำแห่งนี้ได้ หากแต่ไม่คิดว่าพิษที่ถูกขับออกมาจากน้ำในบึงจะกลับกลายมาอยู่ในสภาพเช่นนี้

เด็กหนุ่มสลัดความคิดวุ่นวายทิ้งไปดั่งเช่นที่ผ่านมา ใช้เวลากว่าชั่วยามในการรวบรวมน้ำบริสุทธิ์มาให้จิ้งจอกน้อย ทำให้ในยามนี้พื้นที่ที่สามารถหยั่งเท้าลงไปได้ทั้งหมดภายในมิติจิตของเขาเต็มไปด้วยภาชนะใส่น้ำมากมายวางเกลื่อนกระทั่งไม่สามารถเดินเหินได้แล้ว ด้านจิ้งจอกน้อยได้ถูกเขาจับโยนขึ้นไปบนกิ่งไม้ใหญ่ของต้นไม้โบราณ ให้มันได้อาศัยอยู่บนนั้นเป็นการชั่วคราว 

กองไฟกองหนึ่งถูกจุดขึ้นท่ามกลางความมืดมิด เด็กหนุ่มนำเนื้อของสัตว์อสูรที่ถูกแช่ด้วยน้ำจากน้ำพุสวรรค์มาย่างเพื่อเป็นอาหารให้แก่จิ้งจอกน้อย ส่วนเนื้อที่เหลือค่อยลงมือจัดการในวันรุ่งขึ้น สัตว์อสูรตัวใหญ่มหึมาเช่นนั้นคาดว่าจำเป็นต้องใช้เวลาสามวันจึงจะรมควันเนื้อเหล่านั้นได้ทั้งหมด

เดิมทีด้วยนิสัยเกียจคร้านของเด็กหนุ่ม เขาตั้งใจจะย่างเนื้อแค่ให้จิ้งจอกน้อยพอได้อิ่มท้องเท่านั้น ส่วนซากสัตว์อสูรที่ร่างเต็มไปด้วยพิษเขาหาได้นำพามาใส่ใจไม่ ด้วยไม่อยากสร้างความยุ่งยากกับตนเอง อย่างไรเสียวันข้างหน้าเขายังต้องพบเจอกับเหล่าสัตว์หรือสัตว์อสูรอื่น ๆ ที่สามารถนำมาเป็นอาหารให้กับจิ้งจอกน้อยได้ แต่เมื่อใคร่ครวญอีกครา หากวันหน้าพบเจอสัตว์มีพิษอีกเล่าเขาจะไปหาภาชนะที่ไหนมาแช่เนื้อ เทน้ำที่ผ่านการชำระล้างทิ้งไปอย่างนั้นหรือ เขาใช้เวลากว่าชั่วยามเชียวนะกว่ารวบรวมน้ำสะอาดบริสุทธิ์ได้มากขนาดนี้ แล้วไหนจะสิ้นเปลืองพลังฤทธิ์ไปกับการกำจัดดินโคลนน่าขยะแขยงนั่นอีก เช่นนั้นอยู่ที่ไปอีกสองสามวันคงไม่เป็นไร 

หลังให้อาหารจิ้งจอกน้อยแล้ว เด็กหนุ่มจำต้องออกมาค้างแรมภายนอกมิติจิต เขาไม่ชอบบรรยากาศอึมครึมอึดอัดภายในสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งกระจัดกระจายรายล้อมอยู่ ณ ริมบึงแห่งนี้ จึงเลือกที่จะนั่งทำสมาธิอยู่ข้างกองไฟพลางรมควันเนื้อสัตว์อสูรที่เหลืออยู่ไปด้วย 

ในความมืดมิด แสงสว่างหกสายบินฝ่าอากาศไปอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มพลันลืมตาขึ้นจับจ้องไปในความมืดมิด 

'หรือจะเป็นสัตว์อสูร?' 

เขาร่ายอาคมสร้างข่ายอาคมเกาะป้องกันรอบกายครอบคลุมไปถึงซากสัตว์อสูรที่อยู่ห่างจากเขาไม่ไกลอีกด้วย ข่ายอาคมรูปทรงชามคว่ำรัศมีแปดจั้งปรากฏขึ้นมาบางเบาจนไม่อาจมองเห็นได้ บรรยากาศค่อย ๆ เงียบสงัดลง แสงไฟจากกองไฟสะท้อนนัยน์ตาหงส์ที่คล้ายดั่งกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ในวูบวาบท่ามกลางความมืด สายลมกรรโชกมาเป็นระยะ ๆ ฟังคล้ายเสียงสะอื้นไห้ ยิ่งดึกลมยิ่งแรง นอกจากเสียงกระแสลมในที่ไกลออกไปยังมีเสียง 'แสก ๆ' ถี่ยิบ คล้ายการกรีดปีกของแมลง 

เพียงไม่นานสี่ทิศแปดทางพลันมีเสียงแสกสากดังขึ้น ตามด้วยแสงสว่างหกสายพุ่งตรงเข้ามา เมื่อแสงทั้งหกเข้ามาใกล้เด็กหนุ่มจึงเห็นว่าแท้จริงแล้วแสงเหล่านั้นคือฝูงแมลงยักษ์หกฝูง ยามที่พวกมันกรีดปีกนอกจากจะเกิดเสียงแสกสากแล้วยังเปล่งแสงหรุบหรู่ออกมา อีกทั้งฝูงหนึ่งยังประกอบด้วยแมลงหลายพันตัวเป็นเหตุให้ยามที่พวกมันบินไปบนท้องฟ้ามืดมิดจึงแลเห็นเป็นแสงสว่างสายหนึ่ง

แมลงหลายพันตัวกรูเกรียวกันเข้ามาจากทั่วสารทิศ อีกทั้งยังหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องดั่งสายน้ำ เพียงชั่วประกายไฟแลบเสียงแสก ๆ ก็ดังระงมไปทั่ว เด็กหนุ่มคะเนด้วยสายตา แมลงเหล่านี้คงเข้าใกล้เรือนหมื่นเต็มที พวกมันบินมาเกาะอยู่โดยรอบข่ายอาคมเกราะป้องกันอย่างหนาแน่นกระทั่งน้ำยังไม่อาจซึมผ่านเข้ามาได้ 

เด็กหนุ่มเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงร่ายอาคมบทหนึ่ง สายฟ้านับสิบสายพลันผ่าฟาดลงมาบนข่ายอาคมเกราะป้องกัน เพียงแค่แสงกะพริบวาบ แมลงเรือนหมื่นพลันสลายหายไปสิ้นหลงเหลือเพียงมุกวิญญาณรูปร่างดั่งผลึกน้ำแข็งสีม่วงร่วงกราวลงสู่พื้นทับถมกันเป็นจำนวนมากนอกข่ายอาคม

เชิงอรรถ

[1] ^1 ลี้ (里) = 500 เมตร

[2] ^ระดับบำเพ็ญตบะของมนุษย์ สัตว์อสูร และมาร : ปฐมภูมิ ทุติยภูมิ หล่อหลอม ก่อกำเนิด มหายาน

[3] ^1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง

[4] ^1 จั้ง (丈) = 3.33 เมตร

More Chapters